ช่วงนี้เป็นมรสุมของ Apple อย่างแท้จริง ตามที่ท่านได้อ่านๆกันตามเพจข่าวต่างๆ ไม่ว่าจะ

  • Tim Cook (CEO )ได้ส่งสัญญาณยอดขาย iPhone ที่จะประกาศนี้ ต่ำกว่าประมาณการ จาก 89,000-93,000 ล้านดอลลาร์ เหลือ 84,000 ล้านดอลลาร์
  • การโดนห้ามขายของ iPhone รุ่นเก่ากรณีที่แพ้คดี Patent ต่อ Qualcomm ในจีน
  • ล่าสุด Netflix ก็ออกมาบอกว่า จะให้ผู้ใช้จ่ายค่าสมาชิกตรง โดยไม่ผ่านตัวกลางอย่าง Apple ละ ทำให้ไม่ต้องเสียส่วนแบ่ง 30%

ราคาหุ้นตกรูด

ราคาหุ้นร่วงจากจุดสูงสุด 233.47 ลงมาต่ำสุดที่ 142 ดอลลาร์ ลดลงประมาณ 40 % จากจุดสูงสุด ซึ่งถือว่าเยอะสำหรับหุ้นใหญ่ที่เคยมี Marketcapใหญ่ที่สุดในโลก

Trailing P/E เหลือ 12 เท่านิดๆ มูลค่าตลาดจากบริษัท 1ล้านล้านดอลลาร์ เหลือ 7 แสนล้านดอลลาร์

iPhone คิดเป็นรายได้เท่าไหร่

โพสต์นี้ ขอเน้นไปที่ยอดขาย iPhone เป็นหลัก เพราะเป็นรายได้และกำไรหลักของธุรกิจ คิดเป็น 62% ของรายได้รวม

ยอดขาย iPhone ตันมาสักพัก

ถ้าดูจากกราฟรายปีที่ผมรวบรวมมา จะเห็นว่า ปี 2015 ปีที่ปล่อย iPhone 6Plus ที่เป็นจอใหญ่ครั้งแรก เป็นปีที่มียอดขายนับเป็นจำนวนเครื่องสูงสุด ที่ 231 ล้านเครื่อง แล้วหลังจากนั้น จำนวนเครื่องก็ทรงๆอยู่ที่ราวปีละ 210 ล้านกว่าเครื่องนับตั้งแต่นั้น

โดยไตรมาส4 เป็นไตรมาสที่มียอดขายสูงสุด เพราะมีการเปิดตัวเปิดรุ่นใหม่ที่ไตรมาสนี้เป็นประจำตัวทุกปี สำหรับ iPhone

ยอดขายบ่งบอกได้ค่อนข้างชัดแล้วว่า Apple ไม่สามารถเพิ่มยอดขายจำนวนเครื่องได้มากกว่านี้อีกแล้ว ถ้ายังใช้แผนแบบที่ผ่านมา แต่เมื่ออยู่ในตลาดหลักทรัพย์ มีหน้าที่เติบโตเพื่อผู้ถือหุ้น การขึ้นราคาจึงเป็นทางออกที่ Apple เลือก

การขึ้นราคา iPhone

ถ้าพิจารณาอย่างเป็นธรรมแก่ Apple หน่อย ก็จะเห็นว่า รุ่นมาตรฐานของเค้าราคายังทรงๆที่ระดับเกือบ $800 แต่ทุกปีก็จะมีรุ่น Top แต่ปีก่อนพิเศษหน่อยตรงที่ มีรุ่นพิเศษออกมาอีก

แต่ความชันในการขึ้นราคา 2 ครั้งสุดท้ายเพิ่มขึ้นกว่าค่าเฉลี่ยที่ผ่านๆมา จนกระทั่งครั้งล่าสุดที่ทำให้หลายคนถึงกับชะงัก ชะลอการเปลี่ยนเครื่อง (รวมทั้งตัวผมด้วยที่ยังคงใช้ iPhone 7 Plus อยู่ )

ราคาล่าสุดกับความอดทนถึงขีดจำกัด

จากอดีตที่เคยออก Flashship ปีละรุ่น แล้วซอยแบ่งความจุไป ค่อยๆขยับออก Flashship เป็นปีละ 2 ตัว นับตั้งแต่ 6 Plus จนมาปีล่าสุดออกมา 3 ตัวเลย แล้วคนมักจะพุ่งเป้าไปที่รุ่น Top ขนาดที่คิดว่าคุ้มค่าน่าอยู่ที่ 256 GB เกือบแตะ 5 หมื่น นี่ก็ทำให้หลายคนตัดสินใจชะลอไปก่อน

ส่วนแบ่งการตลาดของมือถือ

จากข้อมูลสะท้อนว่ามีบางส่วนเลือกกับย้ายฝั่งไปใช้ Android แทน จนทำให้ทั้ง Huawei และ Xiaomi มีส่วนแบ่งการตลาดเติบโตเพิ่มขึ้น

เหตุผลที่ยังใช้ iPhone

หลายคนที่ยังตัดสินใจซื้อ Apple อยู่ ให้เหตุผลว่า iPhone มีระบบ ecosystem ที่ปลอดภัยว่า ใช้แล้วรู้สึกภูมิใจกว่า บ้างก็บอกว่า ถึงจะแพงกว่า แต่อายุการใช้งานยาวกว่า เพราะมีการ Support iOS ให้ใช้กันนานกว่ายี่ห้อ

ถ้าดูจากสถิติก็พบว่า iPhone5S นี่ก็ได้รับการ Support นานถึง 5 ปี ถ้ามาเฉลี่ยราคาต่ออายุการใช้งาน iPhone ยังคุ้มอยู่

ส่องงบการเงิน

ถ้าดูจากงบการเงิน จะพบการขึ้นราคาเครื่องของ Apple ที่ผ่านมา โดยที่ยอดขายไม่เพิ่ม เป็นทางออกที่ทำให้บริษัทมีกำไรเพิ่มขึ้นได้จริงๆ แต่หลังจากนี้ละ…

ใครถือหุ้น Apple เยอะสุด

หลายคนคิดว่าปู่ Buffer ถือหุ้นเยอะที่สุด บ้างก็คิดว่า Berkshire ของปู่ต่างหากที่ถือเยอะที่สุด แต่ปรากฏว่ากลายเป็น Vanguard Group Inc ต่างหากที่ถือเยอะสุด (ข้อมูล ณ​เวลาที่เขียนนะ)

ปู่ Buffett กับ Apple

“We bought about 5 percent of the company. I’d love to own 100 percent of it. … We like very much the economics of their activities. We like very much the management and the way they think,”

เป็นที่รู้กันดีในหมู่นักลงทุนว่า ปู่แกหันมาถือ Apple ได้สักพัก จากที่ไม่เคยสนใจหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเลย เพราะแกบอกว่าแกไม่เข้าใจ แล้วแกก็มองว่า Apple เป็นหุ้น Consumer Products ซะมากกว่า

พอร์ตของ Berkshire Hathaway

Berkshire ของปู่ซื้อหุ้น Apple ครั้งแรก 9.8 ล้านหุ้นตอนที่ราคาต่ำกว่า $100 แล้วก็ซื้อเพิ่มจนมี 61.2 ล้านหุ้นที่ช่วงราคา $106-$118
ต้นปี 2017 ซื้อเพิ่มอีกจนมี 130 ล้านหุ้นที่ราคา $116-$122
สิ้นปี 2017 รวมถืออยู่ 165 ล้านหุ้น

ไตรมาสแรก 2018 ซื้อเพิ่มอีก 75 ล้านหุ้น แล้วไตรมาสสุดท้ายก็ซื้อเพิ่มอีก 12 ล้านหุ้น เบ็ดเสร็จตอนนี้ Bershire ของปู่มีหุ้น Apple 252 ล้านหุ้น นับเป็นหุ้นที่มีสัดส่วนมากที่สุด

จดหมายจาก Tim Cook ถึงนักลงทุน

2 มกราคมที่ผ่านมา Tim ได้เขียนจดหมายถึงผู้นักลงทุน ใจความหลักก็อย่างที่ทราบกัน ถึงเรื่องยอดขายที่จะลดลง พูดถึงสาเหตุหลักๆว่า มาจาก ยอดจากจีนที่ลดลง เพราะปัจจัยทางเศรษฐกิจที่โตช้าลงของจีนเอง ค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งขึ้น

แต่ในหลายประเทศก็มียอดขายที่ดีมากอยู่ โดยเฉพาะหมวดอุปกรณ์สวมใส่อย่าง Apple Watch, Airpod เติบโต 50% (แต่ก็สัดส่วนน้อยเมื่อเทียบกับพอร์ตรวม)
ใครอยากอ่านแบบเต็มๆที่ กดที่นี่

แก้ปัญหายังไง

จากงบที่เห็นกัน ชัดแล้วว่าจากการที่ Apple วาง(และเลื่อน)ตำแหน่งสินค้าไว้เป็นระดับ Luxury ทำให้ยากที่จะดันยอดขายไปได้มากกว่านี้ แล้วการขึ้นราคาก็ส่งผลต่อยอดขาย แล้วจะให้ทำไงล่ะ

ลดราคาสิ?

ถ้าการขึ้นราคาเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหายอดขายตก ก็แก้ที่ต้นตอสิ แต่อย่าลืมว่า การลดราคาก็จะทำให้ภาพลักษณ์ที่เคยวางไว้สั่นคลอน คนที่ซื้อไปแล้ว จะคืนเงินส่วนลดให้มั้ย หรือเป็นส่วนลดในการซื้อของชิ้นต่อไป ต้องไปชั่งน้ำหนักให้ดี

ปัญหาที่ Apple เจอมา3-4ปีหลังคือ เพิ่มยอดขายไม่ได้ เพราะจับตลาดเฉพาะ B Class ถึง S Class แต่สัดส่วนใหญ่ของของตลาดเป็นตลาดกลาง-ล่าง ที่ Apple ไม่ได้เลือกที่จะเล่น

การที่จะให้ Apple ลดราคาลงไปมากๆ ก็จะทำให้เสียภาพลักษณ์เดิม ก็ต้องมาเลือกว่า ระหว่าง “สร้าง Fighting Brand ขึ้นมาใหม่” กับไป”ซื้อเจ้าอื่นที่มีภาพนั้นอยู่แล้ว” สิ่งที่ผู้เขียนคิดและเชียร์ให้เกิดคือ ซื้อ Xiaomi ซะ

ทำไม Apple ถึงควรซื้อ Xiaomi

ถ้าใครรู้จัก Xiaomi ทั้งเคยใช้หรือลองจับจะพบว่า มีจุดเด่นคือ Desgin เรียบ ดูดี ในราคาที่จับต้องได้ อีกข้อนึงคือ Xiaomi มีสัดส่วนของสินค้าประเภท IOT เยอะมาก ซึ่งจะเป็นตัวขับเคลื่อนรายได้ นอกเหนือจากลำพังแค่มือถือ ในเวลานับจากนี้ไป

Xioami มียอดขายเป็นอันดับ1 ในอินเดียซึ่งเป็นตลาดใหญ่มาก การซื้อ Xiaomi จึงเป็นการลงทุนที่ได้ฐานที่มั่นในตลาดต่างประเทศ แถมยังแปลงศัตรูให้กลายเป็นมิตร ผมจึงมองว่าทางเลือกนี้เป็นทางที่น่าสนใจมากๆ เพราะ Apple ก็มีเงินสดในมือเยอะมาก

ในแง่ของมีทีมงาน ทั้งทีมบริหารและ Developer มีวัฒนธรรมองค์กรน่าสนใจมาก ใส่ใจผู้ใช้ถึงขั้นให้ผู้ใช้ Vote ว่าอยากให้ Feaute อะไรใน Rom มือถือแต่ละรุ่น ตั้งแต่สมัยที่เป็นทีม MIUI ซึ่งเป็นที่เป็นตลาดที่ Apple ขาดหายไป

Xiaomi เพิ่งจะipo ไปปีที่แล้ว ราคา $17 Hk ตอนนี้ราคาต่ำกว่า IPO พอสมควร Marketcap อยู่ที่ 285 พันล้านเหรียญฮ่องกง ประมาณ 37B สถานการณ์ดูเหมาะเจาะ

แต่อ่านถึงตอนนี่ หลายคนมองว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ไหนจะเรื่องการเมืองของอเมริกากับจีนอีก ก็ถือว่า อ่านเอาสนุกขำๆแล้วกัน

Apple เคยซื้อบริษัทอะไรมาแล้วบ้าง

แต่มาดูรายชื่อบริษัทที่Apple เคยซื้อกันบ้าง จริงๆมีเป็นร้อยดีล มี Didi ที่มีสัญชาติจีนรวมอยู่ด้วย

อยากเห็นทั้งหมด ตามลิ้งนี้
https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_mergers_and_acquisitions_by_Apple

ประมาณการจาก Estimize

ลองมาดูประมาณการจาก Estimize (Social Estimate)ทั้งรายได้และกำไร จะเห็นว่ารายได้ในไตรมาสถัดไปลดลงตาม Guidance จดหมายของ Tim Cook แต่ที่น่าสนใจคือ กำไรต่อหุ้นจะเพิ่มขึ้นจากการที่ Apple มีการซื้อหุ้นคืน

สุดท้าย

ในฐานะที่เป็น Blog เกี่ยวกับการลงทุน ก็ยังคงจับตา Apple ในทุกมิติ แล้วก็รอคอยที่จะดูงบไตรมาสล่าสุดว่า สถานการณ์ของ Apple จะเป็นไปในทิศทางไหนกันต่อไป ก็รอดู รอฟังงบกันในวันที่ 29 มกราคมที่จะถึงนี้กัน

หมายเหตุ : ข้อมูลทั้งหมดผู้เขียน เขียนขึ้นโดยใช้ข้อมูลที่หาได้จากสาธารณะ และเพิ่มเติมมุมมองของผู้เขียนลงไปในส่วนของความคิดเห็นเพื่อประกอบการวิเคราะห์ โปรดใช้วิจารญาณในการอ่านหรือตัดสินใจเพื่อการลงทุน

037 : เมื่อ Apple เจอมรสุม
Tagged on:

ใส่ความเห็น