Header-Blog-gluay

สืบเนื่องจากกรณีที่กระแสไปรษณีย์ไทยจะขึ้นค่าธรรมเนียมในการจัดส่งของ
ก็เลยขออนุญาตเล่า สมัยที่ผมยังเคยของผ่าน eBay ยังชีพเมื่อหลายปีก่อน (2000s)

สมัยนู้นผมส่งของที่ไปรษณีย์ไทยบ่อยมาก แทบจะวันเว้นวัน จนสนิทกับเจ้าหน้าที่
ผมค่อยๆขายดีขึ้นเรื่อยๆ จนได้เป็น Power Seller โดย99.99% ขายไปต่างประเทศแทบทั้งหมด
Feedback ตอนเลิกเกือบ 5 พัน

ต้นทุนในการส่งนับเป็นต้นทุนสินค้าที่มีสัดส่วนมากสำหรับสินค้าของผม และผู้ขายในประเทศไทย
จริงๆแล้วค่าส่งบ้านเราถือว่าค่อนข้างสูงกว่าประเทศอื่นๆอยู่แล้ว จากที่ผมเคยเปรียบเทียบกัน

ผมจะส่งแบบ Small Packet Air Mail (พัสดุย่อยทางอากาศ) แต่จะเย็บด้วยแม็ก ห้ามทากาว
เพราะเจ้าหน้าที่จะสุ่มเช็ค แล้วค่าส่งจะถูกกว่าแบบปิดผนึก แปะใบเขียว CN22 ระบุว่าของข้างในเป็นอะไร
แถมยังแปะรูปสินค้าให้ดูด้วย เพราะเจ้าหน้าที่บอกว่า เค้าจะสุ่มเช็คของข้างใน
ผมก็ช่วยอำนวยความสะดวกให้ (แต่จะทำให้เกิดเจ้าหน้าที่ขนส่งกิเลสมากขึ้นหรือเปล่า ก็ไม่อาจห้ามความคิดได้)

ผมเสียค่าลงทะเบียนต่างประเทศ 55 บาท/ชิ้น เพราะจะตรวจสอบสถานะ (Track) ได้
แต่ความเป็นจริง มันจะTrack ได้ก็ต่อมื่อของถึงประเทศเค้าแล้วเท่านั้น

และระหว่างที่ track ไม่ได้นั้นแหละ ลูกค้าจะมาสอบถาม บ่น บ้างถึงขั้นกร่นด่า
ว่ายังไม่ได้ของ และคนที่ตั้งใจมาโกงก็มีนะ

เวลาเค้าสั่งซื้อ เวลาผ่านไปไม่กี่วัน เค้าก็ไปเปิด Case ใน eBay,Paypal
และ Paypal มักจะให้ผู้ซื้อชนะ เพราะถ้าคนซื้อชนะ คนก็ยังซื้อใน eBay ต่อ
แล้วคนขายก็ต้องขายที่ที่มีคนซื้อ (ไม่งงใช่มั้ย)

สรุป เราส่งของไป เสียค่าของ เสียค่าส่ง เสียเวลา เสียความรู้สึก
โดยที่ไม่ได้เงิน โดนด่า โดนให้ Negative Feedback
และลูกค้าก็จะไ้ด้ของในท้ายที่สุด เพราะเราเพิ่งมา Track ในเวปไปรษณีย์ไทย
ได้ในภายหลัง แต่มันก็ช้า ช้ามาก ไม่ทันการณ์ละ เริ่มเห็นช่องโหว่แรกแล้วรึยังครับ

ประมาณการของที่ผมส่งด้วยวิธีลงทะเบียน คูณจำนวนชิ้นเข้าไป จะพบว่า
ผมเสียค่าประกันเป็นนเงินหลักแสนบาท !!!

แน่นอนว่า เมื่อเราส่งของมากๆ ก็จะมีบ้างที่ ของไม่ถึงเมื่อผู้รับ หายกลางทาง
ถูกตีกลับด้วยสภาพยับเยินแตกต่างกันไป

แต่สิ่งทำให้รู้สึกผิดหวังมากคือ ผมไม่เคยได้เงินประกันคืน แม้นแต่บาทเดียว
ย้ำ ไม่ได้แม้นแต่บาทเดียว ทั้งๆที่จ่ายเงินค่าประกัน และทำเรื่องตามขั้นตอน
ในฐานะผู้ส่งที่ดีที่ควรจะทำ

นับแต่นั้น เมื่อวิธีเดิมไม่ได้แก้ปัญหา และคงไม่คาดหวังว่ามันจะเกิดได้ในเร็ววัน
ผมก็ต้องหาทางเอาเอง หลังๆผมเลยใช้วิธี ให้ลูกค้าเลือกว่าจะส่งแบบไหน
ถ้าจะลงทะเบียนจ่ายอีกราคานะ แต่ผมจะใช้วิธีถ่ายรูปของทุกชิ้นตอนทีส่ง
ณ เคาเตอร์ไปรษณีย์+ Slip แล้วส่งให้ลูกค้าดูทุกชิ้นแทน

แล้วถ้าลูกค้าไม่ได้รับของเกิน 2 สัปดาห์ ผมก็บอกเค้า ผมกำลังส่งไปให้ใหม่
แถมของกำนัลเล็กๆน้อยๆด้วย แล้วถ่ายรูปให้ดูด้วย

(เกร็ด ข้างในพัสดุ ผมก็จะสอดแผ่นพับเล็กๆ เป็นคูปองโค้ด
ว่าไปซื้อของได้ที่เวปผมข้างนอกนะ เพราะค่าธรรมเนียม eBay แพง
แต่ eBay มี Traffic เยอะ เหมือนห้าง Central ที่ร้านก็อยากไปเปิดที่นั่น
แต่ราคาค่าเช่ามันแพงกว่าที่อื่น

เกมที่เราจะเล่นคือ เร่งสร้างลูกค้าใหม่จากแหล่งที่มีลูกค้ามากๆ
แล้วโยกลูกค้าไปเส้นทางที่ต้นทุนต่ำที่สุด ซึ่งก็คือเวปของเราเอง)

ผมขายของ Online อยู่หลายปี ประกอบกับรับงานทำเวป
ทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว ระหว่างนั้นก็ศึกษาการลงทุนหุ้นเรื่อยๆมา

กิจวัตรของผมในช่วงนั้น ถ้าว่างจากเวป ๆก็ถ่ายรูปของ เขียนบรรยาย
เล่าเรื่องให้น่าสนใจ ห่อพัสดุ ตอบคำถาม
ระหว่างนั้นก็เปิดฟังคลิปนู้นนี้ไปเรื่อยๆ มือทำ แต่หูยังว่าง
ผมจึงเรียนรู้ด้วยหูมากที่สุดทางนึง

จะบอกว่า การขายของ Online มันฝึกให้เหมือนเรากำลังเรียนโรงเรียนสอนธุรกิจ
แบบทำจริง เหนื่อยจริง เจ็บจริง แล้วจะได้รู้จริงๆ ไม่ใช่มโนแล้วนั่งนึกเอาล้วนๆ

ตั้งแต่หาตลาดว่าจะขายอะไรดี อันนี้ก็ฝึก SWOT + Market Mix
เราต้องหาของที่บ้านเรามี แต่บ้านเค้าไม่มี แล้วเค้ายินดีจ่ายด้วยนะ เอ้อ คิดดูสิว่าขายอะไรดี

ฝึกการใช้กลยุทธ์ทางการตลาดแบบไหนบ้าง > Marketing Straegy
โจทย์ในการตลาดคือ ทำไงให้ลูกค้าเยอะขึ้น(ใหม่กับลูกค้าเก่ากลับมา) และ ยอดใช้จ่ายสูงสุด (ARPU)

ผมจัดหน้าร้านให้ดูสวย แบ่งหมวดหมู่ให้ลูกค้าเข้าถึงได้ง่าย
(มันคือการออกแบบเส้นทางให้ลูกค้าเดินทาง จนบรรลุเป้าของทั้งเค้าและเรา)

จนมีคนลอกรูปแบบเอาไปทำ (การโดนลอกถือว่า เป็นการพิสูจน์ว่า เราทำดีจริง
จนถึงวันนี้ผมโดนลอกในหลาย Product & Solution จนมานับไม่ถ้วนละ
แต่ก็ยังไม่ชินและเจ็บทุกครั้งอยู่ดี ถ้ายิ่งลอกแล้วยังไม่ให้เครดิตด้วย)

ได้ฝึกการคำนวณและควบคุมต้นทุนสินค้า และค่าขนส่ง > Cost & Supplier Management
จะบอกว่า หลายคนที่เคยมาคุยแล้วอยากทำตาม ขายไปได้หลายชิ้น แต่ยิ่งขายเยอะยิ่งขาดทุน
เพราะไม่เคยคำนวณว่าต้นทุนตรง ต้นทุนแฝง ต้นทุนเวลาเรามีอะไรบ้าง

ฝึกการเล่าเรื่อง การบรรยยายสินค้าที่จะขาย ของแบบเดียวกัน
เราจะขายยังไงให้ขายได้ และได้ราคาที่ดี
– ตอนอิตาลีได้แชมป์โลกปี 2006 โปสเตอร์ใบละ20 ผมได้ขาย 2,000
– เคยขายหนังสือ StarSoccer ได้จากเล่มละ 20 บาท เป็น 20,000

ฝึกเป็นคนช่างวิเคราะห์ ด้วยความที่ผมอยู่ในสายทำเวปมาก่อน
ส่วนนึงที่ผมชอบมากคือ ชอบดู Web Stats คือผมอยากรู้ว่า คนเข้ามาอ่านหน้าไหนเยอะ
จากการค้นอะไร แล้วมาด้วยวิธีไหน แล้วคนจะออกจากร้านเราหน้าไหน
เข้ามาดูวัน เวลาไหน เยอะเป็นพิเศษ ข้อมูลเหล่านี้สำคัญมาก
เพราะมันเป็นเหมือนร่องรอยพฤติกรรมของลูกค้าที่มักจะทำเหมือนๆกัน
ถ้าคุณเริ่มแกะรอยเจอ คุณก็มีโอกาสทำซ้ำได้อีก

ต่อให้ธุรกิจคุณไม่ได้ Online แต่คุณก็ควรจะสร้างเครื่องมือให้ Track ได้อยู่ดี
ว่าลูกค้าเราเป็นใคร อาชีพ รายได้เท่าไหร่ ทำไมถึงมาซื้อของเรา ใครแนะนำมา
พอคุณเริ่มเก็บข้อมูลพวกนี้ คุณก็จะเริ่มรู้ว่า ควรจะลงทุนหาลูกค้าในเส้นทางไหน
ถึงจะคุ้มค่ามากที่สุด

การจัดเก็บ Stock > Inventory & Logistic Management
การตอบคำถามกับลูกค้า > Customer Management
(ผมทำเป็น Template ไว้เลย ว่าถามแบบไหน จะตอบแบบไหน ก็ประหยัดเวลาไปได้เยอะ)

ช่วงแรกขายของได้เท่าไหร่ ก็เอามาลงหุ้นเกือบทั้งหมด
เพราะเชื่อว่าจะเป็นหนทางที่จะพาเราไปสู่บันไดอีกขั้นได้
ถึงแม้นจะผ่านช่วง Subprime ก็ถึงขั้นปิดจอไม่ดูหุ้นอยู่นาน
เพราะมันห่อเหี่ยว แต่ก็ยังฟังคลิป อ่านนู้นนี้ไปเรื่อยๆ

ช่วงนั้นยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นศึกษาการลงทุน ด้วยตัวคนเดียว ก็รู้สึกว่า กรูคิดไปเองคนเดียวรึเปล่า
อาจจะถูกด้วยเหตุผลผิดๆรึเปล่า ก็เลยเขียนออกมาให้เพื่อนอ่านในกลุ่มเล็กๆ เรื่อยมา เพราะผมชอบบันทึก
จนรู้สึกว่า มันชักเยอะ และน่าจะเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นบ้าง เลยรวบรวมมาเขียนใน Blog
(สมัยนั้นยังไม่มี Facebook หรืออยู่ในยุคเริ่มต้นนี่แหละ)

พอเขียน Blog มันก็เหมือนมีคนมาคุย มาถกกันมากขึ้น เลยเป็นที่มาให้รู้จักเพื่อนๆที่ดีมากมาย
เอ๊ะๆ ตั้งใจจะเขียนแค่เหตุจากไปรษณีย์ขึ้นค่าขนส่ง เลยลามมานี้ ก็เอาเป็นว่าประมาณนี้ละกัน

แต่อยากจะบอกว่า การที่ผมได้ขายของบน eBay และอีกหลายๆที่ มันเป็นเหมือนได้ลงสนามธุรกิจจริงๆ
มันก็ช่วยให้เราเห็นภาพในการลงทุนได้ชัดขึ้น ในหลายๆมิติ

มี 108 อย่างที่ควรจะทำ แต่ส่วนที่สำคัญคือ การจัดลำดับความสำคัญของงานที่ต้องทำ (Prioritize)
มันจะมีไม่กี่อย่างที่เราจะเลือกทำ แล้วมันจะส่งผลต่อธุรกิจอย่างมีนัยยะ
เพราะเรามีข้อจำกัดทั้งแรงงาน เวลา และทุน

ยิ่งผมทำด้วยตัวคนเดียว ก็ยิ่งจะต้องจัดลำดับให้ดียิ่งขึ้นไปอีก
อะไรทำคู่ขนานไปด้วยได้ ก็ต้องทำ ผมเลยกลายเป็นคนทำอะไรพร้อมๆกันหลายๆอย่างได้

สรุปว่าตอนนี้ไม่ได้ใช้บริการไปรษณีย์ไทยในฐานะอาชีพคนขายของแล้ว แต่ก็ยังติดตามเรื่องการขนส่ง
ของรายย่อย เพราะมันเป็นธุรกิจที่ได้รับอานิสงส์เต็มๆจากการเติบโตของ Internet และ E-Commerce

การตัดสินใจจะขึ้นราคาค่าขนส่งของไปรษณีย์ไทย ก็จะส่งผลกระทบต่อหลายฝ่าย ทั้งตังพ่อค้าแม่ค้า
ที่ต้องมีต้นทุนเพิ่มขึ้น ก็ต้องมาตัดสินใจแล้ว จะทำยังไง จะย้ายไปขนส่งเอกชนมั้ย ก็เป็นการบ้านไป
ทั้งตัวไปรษณีย์ไทยเอง การปรับราคาขึ้น ก็จะส่งผลแน่นอน ส่วนจะดีหรือไม่ดีในแง่ของรายได้ จำนวนพัสดุ
และกำไรแล้วนั้น ก็เป็นการบ้านของผู้บริหารปณ.ไทยเองเช่นกัน

ส่วนตัวผมคงบอกเล่าได้แต่เพียงว่า จากประสบการณ์ที่ผมพบกับไปรษณีย์ไทยและเอกชน
ต่างก็มีคนข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน แต่อะไรที่เป็นหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับภาครัฐ ก็จะปรับอะไรได้ช้าเป็นธรรมดา
และเมื่อมีคู่แข่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างล่าสุด SCC(ปูนใหญ่) ก็จะจับมือกับบริษัทขนส่งเบอร์1 ของญี่ปุ่นด้วยแล้ว
มันก็ชัดมากว่า ตลาดนี้จะยิ่งดุเดือดขึ้นไปอีก

ผมเคยคิดศึกษาจะเปิดสาขาของบริการขนส่งเอกชน แต่พอศึกษารายละเอียดลึกๆแล้ว
ก็พบว่า ตอนนี้มีคนสนใจมากถึงขั้นเปิดประมูลสาขา จนทำให้ผลตอบแทนของเจ้านั้น ไม่น่าจะคุ้มนัก
เมื่อเทียบกับต้นทุนที่ต้องลงไป

และสำหรับคนที่อ่านมาถึงตรงนี้ แล้วยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการลงทุน หรืออยากหารายได้ และทักษะ
ในการทำธุรกิจเพิ่ม ผมขอเสนอว่า ลองขายของออนไลน์ดูครับ แล้วจะได้ฝึกอย่างที่ผมได้เล่ามา

ก็ขอจบตอนนี้ไว้แต่เพียงเท่านี้ครับ

26 สิงหาคม 2559
แชน พูนดี
Shaen.net

018 : เล่าเรื่อง”ขายของออนไลน์”สู่”การลงทุน”

ใส่ความเห็น